วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

วิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นจากอะไร ?

ทำไมทุก ๆ ประมาณ 10 ปี จะมีวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นเสมอ มันเกิดจากอะไร แล้ววิกฤตครั้งล่าสุดนี้เกิดจากอะไร และพอเกิดวิกฤตเกิดขึ้นจะมีคนบอกว่าเงินหายไปจากตลาด เช่นครั้งนี้ ประมาณ 3 ล้านล้าน ดอลลาร์ แสดงว่าก่อนหน้าที่จะมีวิกฤต มันมีการปั่นตัวเลขใจเกินจริงใช่ไหม

ระบบเศรษฐกิจทั้งหมดจะเริ่มต้นที่ทรัพยากรไปสู่การผลิตการบริโภค การบริการ แล้วยังมีการปั่นราคา ถ้าทรัพยากรลดลง วิกฤตครั้งหน้าโลกเราจะอยู่กันอย่างไรเนอะ อเมริกาก็ร่อแร่เต็มทีแล้ว ไทยก็เกือบ ๆ เพราะตามเขาทุกอย่าง


คำตอบ คือ มันเป็นวัฎจักร มีขึ้น ก็ต้องมีลง....เช่น ยกตัวอย่าง การขายรถยนต์ ปีไหน ศก. ดี คนก็ซื้อรถเยอะ พอซื้อเยอะ มันก็ อิ่มตัว...พออิ่มตัว ต่างคนต่างก็มีรถ จำนวนรถ มันก็ขายลดลง...พอ ลดลง บางคนก็ โทษนายกฯ ว่า ไม่เก่ง แท้ที่จริงอาจจะขายที่มรดกพ่อมาซื้อรถก็มี แต่ไม่เข้าใจเรื่องวัฎจักร การขึ้นการลง คนที่เขาเรียน ศศ. มา เขาย่อมรู้ว่า เรื่อง ศก. มันมีขึ้น มีลง จะช่วงสั้น ช่วงยาว มันก็ขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัยเป็นส่วนประกอบของตัวปัญหา


ถูกต้องครับ เพราะระบบการค้าเสรีที่ไร้ขอบเขต มีการปั่นทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อกำไรมูลค่าสินค้าสำคัญและอสังหาริมทรัพย์จึงอยู่บนความต้องการเทียมที่ไม่มั่นคง ดังนั้นจึงไม่แปลกหรอก เมื่อถึงเวลามันต้องล้มครืนอย่างแน่นอน ระบบเศรษฐกิจจะมั่นคง ถ้าดำเนินแบบเศรษฐกิจพอเพียง เพราะธุรกิจทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ราคาสินค้าจะขึ้นลงไม่หวือหวาและอิงกับความต้องการที่แท้จริงของตลาดและเติบโตตามจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ส่วนในระบบการค้าเสรีเพื่อรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจต้องกระตุ้นให้ผู้คนบริโภคอย่างเกินความต้องการที่แท้จริงอยู่ตลอดเวลา จนไม่เหลือเงินเก็บหรือเป็นหนี้


โลกจะลุกจากการล้มครั้งนี้ได้ต้องหาพลังงานทดแทน ที่ไม่ใช่น้ำมัน มาปลุกเศรษฐกิจ เพราะเมื่อมีข่าวว่า เศรษฐกิจกำลังจะฟื้น ราคาน้ำมันจะดีดตัว เป็นลูกตุ้มถ่วงทันที

คือถ้าจะมองเผิน ๆ อาจจะดูเหมือนเป็นอย่างที่บอกนะครับ แต่ถ้าลองย้อนกลับไปดูวิกฤตเศรษฐกิจหลักๆที่ผ่านมา ในปี 2522-23 น้ำมันขาดแคลน เพราะประเทศกลุ่มตะวันออกกลางอย่างอิรัก-อิหร่านทำสงครามกัน ทำให้ปริมาณน้ำมันในตลาดไม่เพียงพอ เราก็แก้โดยการรัดเข็มขัดประหยัดกันทั้งประเทศ และประเทศเราสมัยนั้นก็ไม่ได้พึ่งพาอุตสาหกรรมอะไรมากมาย ต่อมาก็เริ่มสร้างโรงกลั่นน้ำมันเองยืนบนขาตัวเองได้

พอปี 2534 หรือสิบกว่าปีถัดมา หมดยุครัฐบาลทหาร เศรษฐกิจนำการเมือง พล.อ.ชาติชายเริ่มนำประเทศไปสู่นิกส์หรืออุตสาหกรรมใหม่ เอาที่นาที่ไร่ดินดี ๆ ไปสร้างโรงงาน ไปทำบ้านจัดสรร เก็งกำไรที่ดินกันสนุกสนาน บอกว่าเราจะเป็นเสือตัวที่ห้า สุดท้ายกลายเป็นหมาตัวทีหนึ่ง เพราะคนเก็งกำไรรวย ประชาชนจนเอา จนเอา เพราะสูญที่ดินทำกิน ต้องออกมาใช้แรงงานไปซาอุ ไปสิงค์โปร์ มันเป็นอย่างนี้เรื่อยมาจนฟองสบู่แตก เพราะราคาที่ดินที่เอาไปตึ๊งไว้กับแบงค์มันเกินมูลค่าที่แท้จริง พวกก็เอาเงินกู้ไปปั่นหุ้นในตลาด แบงค์ยึดไปก็เป็นสินทรัพย์เน่าเสียเอาไปขายก็ไม่ได้ แบงค์ก็ล้มระเนระนาด ถึงตอนนี้เศรษฐกิจร่วงลงเหว ทั้งหมดทั้งมวลมันเกิดจากการพัฒนาที่ผิดทิศผิดทาง แต่ละรัฐบาลเข้ามาก็เข้ามาแก้ปัญหาเหมือนลิงแก้แห มูลค่าตลาดมันถูกปั่นด้วยกลไกในตลาดหุ้น ตามด้วยการเก็งกำไรสารพัด ค่าเงิน ทอง พอมันกลับสู่ความเป็นจริงคนที่ถือคนท้ายสุดก็เสร็จ ส่วนใหญ่เป็นใคร คนชั้นกลาง 2540 คือ การล่มสลายทางเศรฐษกิจของชนชั้นกลาง แต่ชั้นรากหญ้านั้นล้มมาตั้งแต่ขายที่ขายนาแล้ว

ยุคต่อมาเป็นยุคของ การ privatization คือ แปรรูปสาธารณูปโภคกันยกใหญ่ มันไม่ใช่เป็นแค่ในเมืองไทย มันเป็นกันทั้งโลก เพราะเมื่อประชากรของโลกนี้มากขึ้นๆ จีนเปิดประเทศ หลายประเทศในโลกนี้ก็มองว่าถ้าระบบงานมันอืดอาด ทุนมันน้อย ระดมทุนยากก็แข่งกันผลิตสู้ชาวบ้านเขาไม่ได้ โอกาสก็จะน้อย ใครล่ะที่ปลูกฝั่งแนวคิดนี้ อเมริกันน่ะแหละตัวเอ้เลย คนไทยที่จบเมกามายูท๊อปทั้งหลายนี่แหละเป็นสาวกตัวเอ้ เชื่อไอ้กันมากกว่าพ่อเสียอีก เป็นยังไงหล่ะ เริ่มด้วยการแปรรูปสิ่งที่ยังไม่เคยมีในประเทศไทยคือระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตามด้วยปตท. สุดท้าย พวกนอมินีนี้แหละก็เข้ามาฮุบหุ้นแล้วก็ทำให้เกิดวลีสวย ๆประเภทว่า เราต้องสร้างกำไรให้กับผู้ถือหุ้น จากนั้นราคาน้ำมันเป็นยังไงล่ะพี่

ยุคต่อมาคือยุคปัจจุบัน ก่อนหน้านี้นอมินีเข้าไปถือหุ้นกิจการสาธารณูปโภคจนผูกขาดได้แล้ว ต่อไปเขาก็จะเอาเงินพวกนั้นไปซื้อ ๆ ๆ ๆ ทุกอย่างที่เขาอยากได้ ซื้อทรัพยากรของประเทศอื่นที่ตัวเองไม่มีและก็ไม่ต้องเสียภาษีแต่อย่างใด เพราะเราจะมี FTA ร่วมกัน สุดท้ายประเทศใหญ่มาไล่ซื้อทรัพยากรจากประเทศเล็ก ๆ โดยไม่ต้องเสียภาษี แลกกับการส่งออกอันจิ๊บจ๊อยมูลค่ากระจอกงอกง่อย กลายเป็นต้นเหตุของวิกฤตในยุคถัดมาคือวิกฤตด้านทรัพยากรและภัยธรรมชาติ

ในปี 2012 เป็นต้นไปทั้งโลกจะมีปัญหาด้านความเสื่อมโทรมทางทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ธรรมชาติต้องปรับตัวเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำท่วม แผ่นดินไหวเอาส่วนที่เน่าเสียลงทะเลไป ยกพื้นที่บางส่วนจากใต้ทะเลขึ้นมาแทนที่ การเอาคืนของธรรมชาติจะรุนแรงที่สุด ประเทศที่เริ่มจะเคลื่อนไหวเรื่องนี้ก็จะเน้นเอาภาคสังคมนำเศรษฐกิจและการเมือง มีผู้นำทางภาคสังคมขึ้นมาแทนที่ผู้นำที่มาจากภาคเศรษฐกิจ เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายทางการเมืองครั้งใหญ่เพื่อรับมือกับภัยเหล่านี้

มันอาจจะไม่ใช่วัฐจักรซะทีเดียว ถ้าดูในแต่ละยุคก็จะเห็นได้ว่า สาเหตุมันเกิดจากความละโมบของมนุษย์และการขึ้นมามีอำนาจของคนเลว คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้เลือกพวกเดียวกันขึ้นมาเป็นผู้นำ โดยอ้างว่ามันคือประชาธิปไตย ประชาธิปไตยที่มาจากความโง่เขลาเบาปัญญาก็เลยนำพาความเสื่อมมาสู่ตัวเองและ สังคม ถ้าอยากจะหยุดสิ่งเหล่านี้เสียแต่วันนี้ก็ต้องหันมาใส่ใจสังคมให้มันมากกว่านี้ แต่ก็ลองดูคนรอบตัวพวกคุณสิว่าพวกเขาเป็นยังไง สังคมอย่างนั้นจะเกิดขึ้นได้ในเร็ววันหรือไม่และมันจะทันเวลาหรือไม่

อันตรายที่สุดคือการสร้างแรงจูงใจให้เกิด Demand เทียมขึ้นมา ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาหลายอย่างจนในที่สุดก็ล้มครืนลงไป


วิกฤติเศรษฐกิจ

ปี 2540 เกิดที่ประเทศไทย และลุกลามไปยังประเทศอื่น รวมทั้งประเทศเจ้าหนี้เล็กน้อย
ปี 2551 เกิดที่ สหรัฐ แต่ละคนสรุปต้นเหตุต่างกัน ส่วนใหญ่บอกว่ามาจาก Subprime แต่ผมคิดว่ามาจากการนำเงินจำนวนมากไปใช้ในการทำสงคราม ในอาฟกานิสถานและอิรัค ทำให้เหลือเงินสร้างงานในประเทศลดลง


สำหรับในเมืองไทย ปัญหามีมานานแล้วนะครับ ถ้าท่านประกอบอาชีพสุจริตในหมู่คนอาชีพเดียวกันท่านซึ่งคดโกงทุจริต ท่านก็จะไม่โต ลำบาก และมีอุปสรรคมากมาย ไม่เว้นอาชีพ ค้าขาย หรือรับราชการ จะเห็นว่า คนสุจริต คนซื่อสัตย์ หายไปเกือบหมดแล้ว สังคมไทยหันหน้าไปต้อนรับ คนมีเงิน แต่จะโกงชาติ ปล้นแผ่นดินมาหรือไม่ ไม่มีคนสนใจว่า เงินที่ได้มาสุจริตหรือไม่อีกแล้ว
วิกฤตของไทย หนักกว่ามาก เพราะเราบูชาเงิน จนไม่สนใจจริยธรรมและคุณธรรมกันอีกแล้ว เพราะเมื่อลำบากไม่มีคนมาช่วยคนสุจริต ไม่มีข้าวกินซื่อสัตย์ไปก็มีแต่สุขในใจ แข่งขันค้าขาย แข่งราคากับเจ้าอื่นไม่ได้ ใครก็ชอบสินค้าที่ถูกกว่าทั้งนั้น แต่ไม่สนใจว่าราคาถูกได้เพราะอะไร มันเป็นวัฏจักร


หลังจากเศรษฐกิจทรุด และ มีการแก้ไข...
เศรษฐกิจ จะดีขึ้น ๆ

เมื่อเศรษฐกิจดี ทำอะไรก็ดีไปหมด
ทำอะไรมาขายก็ขายได้
ทุกคนมีเงิน
เอาเงินฝากแบ๊งค์ (ธนาคาร)
ธนาคาร ปล่อยสินเชื่อง่าย เพราะ เงินมากองล้นธนาคาร
ต้องรีบปล่อย ไม่งั้น จ่ายแต่ดอกเงินฝาก เจ๊ง
กอร์ปกับ ปล่อยสินเชื่อง่าย เพราะ กู้ไปลงทุนอะไรๆ ก็ดีไปหมด เนื่องจาก เศรษฐกิจดี

ทีนี้ พอปล่อยมากเข้าๆ คนกู้ไปลงทุนมากเข้าๆ
มันก็เกินความต้องการ...Demand เริ่ม น้อยกว่า Supply
ก็เริ่ม ขายไม่ออก
เช่น สร้างหมู่บ้านจัดสรร ควรมี 10,000 หลังต่อปี
ดันสร้างไป 100,000 หลัง
คนซื้อมีแค่ 10,000 หลัง
ที่เหลือ อีก 90,000 หลัง เริ่ม ขายไม่ออก
ร้านกาแฟ ควรมี 10 แห่ง ต่อ 1 ชุมชน ดันสร้างซะ 100 แห่ง คนก็ไม่มีเข้าไปกิน ก็ เริ่มเจ๊ง
ไม่มีเงินคืนธนาคาร

สินค้าโรงงานผลิตมากเกินไป ขายไม่ได้
ก็เริ่ม ปลดคนงาน เงินกู้ธนาคารมา ก็ไม่มีไปคืน

มันก็ล้ม เป็นลูกโซ่
คนตกงาน โรงงานปิด
บ้านขายไม่ออก ปลดคนงานก่อสร้าง ฯลฯ

หนี้ธนาคารเป็น NPL เพราะตอนรีบปล่อยเงินกู้ เนื่องจาก ไม่ต้องการแบกรับภาระ ดอกเบี้ยเงินฝาก ก็ ปล่อยไปแบบ ไม่มีคุณภาพ ให้ใครกู้ก็ได้ กู้ทำร้านกาแฟ ร้านกาแฟเจ๊ง ก็ไม่มีเงินคืน...

มันก็วนไปเช่นนี้....


สหประชาชาติ เคยกังวลเรื่อง ปัญหาของประชากรโลก ปี 2050 ประชากรโลกจะขึ้นไปถึง 9000 ล้านคน อีก 41 ปีข้างหน้า ที่สำคัญ การเพิ่มของประชาการ กลายเป็น คนรากหญ้าเพิ่ม ..ระบบ การกระจายรายได้กลับไม่เป็นธรรมเพราะ รากหญ้าขาดการต่อรองค่าจ้าง เจ้าของแรงงานไร้แรงผูกขาดค่าแรงงาน แต่กลับ เจ้าของทุน ( นายจ้าง ) กลับผูกขาด กำหนดค่าจ้างได้ตามใจ อ้างกำไรขาดทุนอย่างเดียว ..การที่นายทุนผูกขาดได้ฝ่ายเดียว ก็จะเกิดผลตามมาคือ อำนาจซื้อของคนส่วนใหญ่ต่ำติดดิน คนส่วนใหญ่ คือ เจ้าของแรงงาน....ผลของความไม่สมดุล.....ก็คือปัญหาต่างๆ เช่น ต่อให้นายทุน ผลิดอะไรออกมา ก็ขายไม่ค่อยได้เต็มที่ ทั้งที่จำนวนคนซื้อก็มาก แต่ผู้ซื้อคือคนจน เมื่อแรงซื้อไม่ดี แรงขายก็ลด จึงตัดราคากัน แข่งขันกันแทบเป็นแทบตาย


เมื่อถึงรอบวัฎ จักร (ตกต่ำต้มยำกุ้ง อะไรพวกนี้ ระบบการเงิน การธนาคาร ก็เกิดวิกฤติ คือ เกิดหนี้สูญ หนี้เสีย เพราะคนลงทุนขาดทุน คนขายขาดทุน เนื่องจากคนซื้อขาดแรงซื้อ


...ปัญหาต้มยำกุ้งก็จะเกิดเป็นระยะช่วง ๆ.......


ปัญหาของโลกเรา เรื่องวิกฤติ มันเกิดจากความไม่ยุติธรรม ความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์ อุปทาน ความไม่เป็นธรรมของการกระจายรายได้ ความแตกต่างระหว่างประเทศร่ำรวย กับประเทศยากจน ประเทศร่ำรวยก็ผูกขาดด้านลิขสิทธิ์ต่างๆ ขายได้มากกว่า ..พ่อค้าจากประเทศยากจนจึงจำเป็นต้องลดราคาขายไปยังต่างประเทศ ทำให้พ่อค้าก็มาเอาเปรียบค่าแรงงานค่าจ้างอีกที

และที่สำคัญ คนรวยเอาเปรียบคนจน เรืองการกระจายรายได้ คือ ทำธุรกิจไม่ก้าวไปด้วยกันแต่กลับกดขี่กระจายรายได้...เจ้าของกิจการ...รวยคน เดียว
และที่สำคัญ หากมองแค่พื้นที่ ท้องถิ่น นักการเมือง คนมีอำนาจ กลับใช้อำนาจแฝงคอรัปชั่น ปัญหาต่างๆ....เกิดจากความไม่เป็นธรรม และการขาดความสมดุล ทุกด้าน จำนวนประชากรคนจนเพิ่มมากไป ขาดการวางแผนเรือ่งจำนวนประชากร โดยเฉพาะประเทศยากจน.......สุดท้าย วิกฤต ศก. โลก และอื่นๆ ความแตกแยก ก็กลายเป็นสงครามทางความเชื่อ สงครามแย่งความได้เปรียบ เช่นประเทศไทย ณ เวลานี้ไง


ตราบใดที่ชาวโลกยังไม่ตระหนักในภัยของเศรษฐกิจแบบนี้ ขอบอกให้รู้ว่ามันเป็นภัยที่ร้ายแรงมากและยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าใดมันก็ยิ่ง รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น เมื่อความรุนแรงถึงระดับหนึ่งซึ่งคนเราทนไม่ได้อีกต่อไป จะเป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 และหายนะของโลกก็จะมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในเวลานี้มีสิ่งบอก เหตุให้เห็นกันแล้ว แต่นักเศรษฐศาสตร์ยังหลงงมงายกันอยู่ในทฤษฎีเดิมๆในเรื่องการค้าเสรี ที่คิดโดยประเทศมหาอำนาจซึ่งพยายามเข้าครอบงำประเทศเล็กๆที่ด้อยกำลังกว่า ด้วยวิธีการต่างๆนานา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เอื้อต่อความเป็นอยู่สำหรับชาวโลกที่ยั่งยืนเลย ซ้ำร้ายอาจเป็นการบ่อนทำลายชาวโลกลงไปทีละเล็กละน้อย

ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง เป็นทฤษฎีที่ลึกซึ้งมากที่พระองค์พระราชทานให้คนไทย เป็นทฤษฎีที่ตกผลึกจากแนวทางทั้งทางโลกและทางธรรม ซึ่งสอดคล้องและมีความยืดหยุ่นได้ทุกสภาวะ


ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คนไทย จะฉลาดและเลิกโลภเสียที คนที่จะมองเห็นผลดีในทฤษฎีนี้ได้ต้องมีใจที่ไม่โลภ ต้องมีความเที่ยงธรรม และมีความอ่อนโยนต่อผู้อื่นด้วยการแบ่งปันและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ก็เป็นหนทางหนึ่งที่คนไทยเคยมีมาในอดีต ถ้าคนไทยไม่รื้อฟื้นค่านิยมเหล่านี้ให้มีบทบาทในสังคมได้ สังคมไทยจะเสื่อมโทรม อย่าไปนำรูปแบบสังคมตะวันตกมาใช้ เพราะมันเป็นสังคมตัวใครตัวมัน คนไทยเรามีรากฐานมาแบบนี้หากละทิ้งไปก็น่าเสียดายมากครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น